ว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อ 25 พ.ย.67 ว่าจะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน รวมทั้งเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งจะเริ่มใช้อัตราภาษีใหม่ทันทีหลังจากสาบานตนเข้าดำรงตำแหน่ง เพื่อปกป้องผู้ประกอบการอเมริกัน และเพิ่มการจ้างงานในประเทศ สำหรับอัตราภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ จะทำให้ประเทศคู่ค้าต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การประกาศนโยบายนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณให้ประเทศคู่ค้าสหรัฐฯ ต้องตื่นตัวและเร่งเข้าหารัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ เพื่อเจรจาต่อรองหรือแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ซึ่งอาจทำให้ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เปลี่ยนใจ และทบทวนนโยบายอัตราภาษีใหม่ได้…เหมือนที่เคยดำเนินการเมื่อครั้งสมัยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยแรก
รัฐบาลชุดใหม่ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะใช้การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองกับต่างประเทศ ก่อนหน้านี้ ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่าจะเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 10-20 ต่อสินค้าจากต่างประเทศทั้งหมด ส่วนจีนจะเจออัตราภาษีนำเข้าร้อยละ 60 !! ทั้งหมดนี้ทำไปเพื่อปกป้องผู้ประกอบการอเมริกัน ซึ่งว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ เชื่อว่า อัตราภาษีคือเครื่องมือที่ทรงอำนาจที่สุดในการลงโทษประเทศที่มีนโยบายการค้าไม่เป็นธรรมกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม สื่อสหรัฐฯ ตั้งข้อสังเกตว่า ว่าที่ผู้นำคนใหม่นี้ยังไม่ได้กล่าวถึงผลกระทบต่อชาวอเมริกันจากนโยบายดังกล่าว ที่ผ่านมา บริษัทสัญชาติอเมริกัน รวมทั้งผู้ประกอบการชาวอเมริกันในสหรัฐฯ ก็ได้รับผลกระทบ เพราะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายจากนโยบายนี้เหมือนกัน เนื่องจากยังคงต้องนำเข้าสินค้าหรือผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าในประเทศต่อไป …เท่ากับว่า ชาวอเมริกันเองก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้ผู้ส่งออกจากต่างประเทศ ทั้งผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายภาษีนำเข้าสูงขึ้น และผู้บริโภคชาวอเมริกันที่ต้องจ่ายเงินซื้อสินค้าในราคาสูงขึ้นด้วยนั่นเอง (เพราะต้นทุนราคาเพิ่มจากมาตรการภาษี)
ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์เคยดำเนินมาตรการนี้สำเร็จมาแล้ว โดยบังคับใช้กับสินค้าบางประเภท และจากบางประเทศ แต่คาดว่ามาตรการครั้งนี้ที่จะขยายขอบเขตมากขึ้น เพราะได้ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะครอบคลุมการนำเข้าทุกประเภท (all US imports) เพื่อนำรายได้มาเสริมสร้างสวัสดิการให้ชาวอเมริกัน
พร้อมกันนี้ ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศชื่อบุคคลเข้ารับตำแหน่งผู้แทนการค้าสหรัฐฯ คือ นาย Jamieson Greer อดีตหัวหน้าสำนักงานของผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ซึ่งทรัมป์เชื่อว่า นาย Jamieson จะช่วยลดระดับการขาดดุลการค้า และปกป้องอุตสาหกรรม รวทั้งเกษตรกรรมของสหรัฐฯ ได้ดี