![]()

สหภาพยุโรป (EU) เมื่อ 3 ธันวาคม 2568 เห็นพ้องร่วมกันว่าจะยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียในปี 2570 เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย โดยคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นองค์กรกำกับดูแลความร่วมมือและการเสนอกฎหมายของ EU เสนอแผนการดำเนินการดังกล่าวไว้ตั้งแต่ มิถุนายน 2568 เป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในภูมิภาค พร้อมกับลดความเสี่ยงที่รัสเซียจะใช้ประเด็นความมั่นคงด้านพลังงานของสมาชิก EU เป็นปัจจัยสร้างความได้เปรียบในการดำเนินนโยบายต่างประเทศและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงอื่น ๆ
EU ลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียโดยแบ่งเป็นขั้นตอน ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทสัญญาซื้อขายก่อนหน้านี้ เช่น ประเทศที่ทำสัญญาซื้อ-ขายก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียไปแล้วก่อน 17 มิถุนายน 2568 และเป็นสัญญาระยะสั้น จะต้องยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (Liquefied Natural Gas) หรือ LNG จากรัสเซียใน 25 เมษายน 2569 และยุติการนำเข้าก๊าซธรรมชาติผ่านท่อลำเลียงก๊าซจากรัสเซียภายใน 17 มิถุนายน 2569 ส่วนประเทศที่ทำสัญญาซื้อขายระยะยาว จะต้องดำเนินการให้ได้ภายในปี 2570 อย่างไรก็ตาม หากสมาชิก EU เผชิญอุปสรรค โดยเฉพาะการสำรองพลังงาน ก็ยังสามารถยื่นขอขยายระยะเวลาได้
EU เคยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียประมาณร้อยละ 45 จากการนำเข้าทั้งหมด แต่นับแต่รัสเซียปฏิบัติการพิเศษทางการทหารในยูเครนเมื่อปี 2565 และทำสงครามยืดเยื้อมาจนถึงปัจจุบัน พร้อมกับยังยืนยันเป้าหมายที่จะอ้างอธิปไตยเหนือดินแดนในยูเครน ทำให้ EU มีมาตรการคว่ำบาตรการค้าขายพลังงานจากรัสเซีย ทำให้ปัจจุบัน EU นำเข้าก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียลดลงอยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 12
นาง Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า ความตกลงด้านพลังงานของ EU ครั้งนี้ เป็นการทำลาย “หมาก” สำคัญของผู้นำรัสเซียที่ใช้ในการทำสงคราม ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณให้นานาชาติและยูเครนเห็นว่า EU ยังคงสนับสนุนยูเครน และกำลังมองหาหุ้นส่วนด้านพลังงานใหม่ แทนที่รัสเซียที่กำลังจะเสียโอกาสการส่งออกพลังงาน เพราะรัสเซียยังไม่ยอมยุติปฏิบัติการทหารในยูเครน ซ้ำยังมีความเคลื่อนไหวด้านการทหารที่เป็นอันตรายต่อภูมิภาคยุโรปเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ประเทศสมาชิก EU จะต้องจัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาการซื้อขายก๊าซธรรมชาติกับรัสเซีย และแผนการพึ่งพาพลังงานที่หลากหลายมากขึ้น ให้คณะกรรมาธิการยุโรปใน มีนาคม 2569
EU ยังมีแผนจะเสนอแนวทางปรับลดการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียด้วย โดยคณะกรรมาธิการยุโรปเปิดเผยว่าอาจจะเสนอแผนดังกล่าวภายในต้นปี 2569 เพื่อดำเนินการให้ทันภายในปี 2570 สะท้อนว่า EU ให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยไม่ต้องการให้รัสเซียใช้ประโยชน์จากประเด็นนี้ไปข่มขู่หรือคุกคาม EU ได้ นอกจากนี้ ยังสะท้อนว่า EU จะสรรหาแหล่งพลังงานที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินว่า EU อาจต้องพึ่งพาหุ้นส่วนด้านพลังงานแห่งใหม่อย่างสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันก็มีนโยบายการค้าที่ไม่แน่นอน แต่ก็ยังมีนอร์เวย์ แอลจีเรีย ลิเบีย อาร์เซอร์ไบจาน และสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ดี การลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียของ EU อาจมีอุปสรรคอยู่บ้าง จากสมาชิก EU ที่มีความร่วมมือด้านพลังงานกับรัสเซีย เช่น ฮังการี อาจคัดค้านข้อตกลงดังกล่าว จึงต้องติดตามท่าทีจากสมาชิก EU ต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่พบกับนายกรัฐมนตรีฮังการีที่ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ ต้นพฤศจิกายน 2568 ก็ให้สิทธิฮังการีในการนำเข้าพลังงานจากรัสเซีย เป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากฮังการีเป็นประเทศ land lock ไม่มีเส้นทาง หรือทางเลือกอื่นในการที่จะนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ







