ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศต่าง ๆ ที่กรุงปารีส เมื่อ 17 เมษายน 2568 เพื่อหาแนวทางสร้างสันติภาพและความมั่นคงในยูเครน รวมทั้งภูมิภาคยุโรป โดยประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง เป็นประธานในการประชุมและได้พบหารือกับผู้นำ และผู้แทนระดับสูงจากหลายประเทศ ได้แก่ เยอรมนี สหราชอาณาจักร รวมทั้งสหรัฐฯ ซึ่งส่งนายมาร์ค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว โดยมีข้อสรุปร่วมกันคือการสนับสนุนให้รัสเซียและยูเครนใช้การเจรจาโดยตรง และทำข้อตกลงร่วมกันเพื่อยุติสงคราม
ประธานาธิบดีมาครงใช้การประชุมครั้งนี้ส่งเสริมบทบาทของฝรั่งเศสในฐานะประเทศผู้นำด้านการใช้การทูตแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ รวมทั้งเน้นย้ำว่าการหารือครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์ร่วม ตลอดจนเป็นเวทีให้สหรัฐฯ ได้แสดงบทบาทนำอีกครั้งด้วยการเสนอแผนสันติภาพ ซึ่งเป็นแผนการเดียวกันกับที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เสนอให้กับรัสเซีย และเป็นการยืนยันแนวทางนโยบายของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากก่อนหน้านี้ ผู้นำยูเครนแสดงท่าทีไม่เชื่อมั่นทิศทางการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ เนื่องจากมีมุมมองว่า นาย Steve Witkoff ผู้แทนพิเศษของสหรัฐฯ เข้าข้างรัสเซียมากเกินไป และมีมุมมองว่านาย Witkoff ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีรัสเซีย โดยได้พบหารือกับประธานาธิบดีวลาร์ดิมีร์ ปูตินแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถโน้มน้าวให้ยุติการปฏิบัติการทางทหารในยูเครนได้
การประชุมนานาชาติประเด็นการสร้างสันติภาพในยูเครนจะจัดขึ้นอีกครั้งที่กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ในห้วงสัปดาห์หน้า โดยทางสหรัฐฯ ยังไม่ยืนยันว่านายรูบิโอจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่ ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่าจะต้องรอพิจารณาความคิดเห็นจากฝ่ายรัสเซีย เกี่ยวกับแผนสันติภาพและข้อเสนอหยุดยิงที่รัฐบาลสหรัฐฯ เสนอ ซึ่งจะให้คู่ขัดแย้งหยุดยิงเป็นระยะเวลา 30 วัน ด้านยูเครนประเมินว่าข้อเสนอและแรงกดันของสหรัฐฯ ต่อรัสเซียในปัจจุบัน ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น พิจารณาจากการที่รัสเซียยังโจมตียูเครนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้นำยูเครนจึงเร่งเสนอให้ประเทศต่าง ๆ เพิ่มการกดดันรัสเซีย พร้อมกันนี้ มีรายงานเมื่อ 18 เมษายน 2568 ว่ายูเครนกับสหรัฐฯ ทำบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดการแร่หายากในยูเครน ซึ่งน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ สนับสนุนยูเครนมากขึ้น เนื่องจากสอดคล้องกับข้อเสนอของประธานาธิบดีทรัมป์ก่อนหน้านี้ ที่ต้องการให้ยูเครนอนุญาตให้สหรัฐฯ ได้เข้าถึงแหล่งแร่หายากของยูเครนมากขึ้น โดยอ้างว่าจะเป็นหลักประกันส่วนหนึ่งที่ทำให้รัสเซียไม่โจมตียูเครน เพราะมีผลประโยชน์ของสหรัฐฯ อยู่ในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ประเทศจะต้องหารือในรายละเอียดระหว่างกันต่อไป