![]()

กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ปะทุขึ้นมาอีกรอบเมื่อ 7 ธันวาคม 2568 ทำให้มีต่างประเทศออกคำเตือนประชาชนของตนที่อาศัยอยู่ในไทย และในกัมพูชา ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในบางประเทศ เผยแพร่คำเตือนคนไทยในต่างประเทศด้วย ดังนี้
สหรัฐฯ เพิ่มระดับการแจ้งเตือนพลเมืองชาวอเมริกันในไทยและกัมพูชาเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ/กรุงเทพฯ ออกคำเตือนด้านความมั่นคง (security alert) เมื่อ 8 ธันวาคม 2568 ให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ขัดแย้ง และให้อยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีการปฏิบัติการทางทหารอย่างน้อย 50 กิโลเมตร เนื่องจากประเมินว่าสถานการณ์ยังไม่แน่นอน และรัฐบาลสหรัฐฯ มีข้อจำกัดในการเข้าพื้นที่ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่นเดียวกับสถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส/กรุงเทพฯ ก็เตือนไม่ให้เดินทางไปพื้นที่ขัดแย้ง
ส่วนที่มีรายงานจากสำนักข่าวรอยเตอร์ส อ้างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เปิดเผยท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้น สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ/กรุงเทพฯ ยังไม่ยืนยันท่าทีเรื่องนี้ โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า สหรัฐฯ กดดันไทยและกัมพูชาให้คำมั่นว่าจะยุติความรุนแรง รวมทั้งประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้ทั้งไทยและกัมพูชาบรรลุการยุติความรุนแรงโดยเร็วที่สุด
สหราชอาณาจักรเมื่อ 4 ธันวาคม 2568 เพิ่มคำเตือนพลเรือนเกี่ยวกับการเดินทางในไทย ทั้งจากกรณีการปะทะระหว่างไทย-กัมพูชาและสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ โดยกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักรเตือนให้ระมัดระวังการเดินทางไปในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ให้พิจารณาเฉพาะเท่าที่จำเป็น และให้ชาวอังกฤษอยู่ห่างจากพื้นที่ที่มีการปฏิบัติการทางทหารอย่างน้อย 50 กิโลเมตร ซึ่งรวมทั้งบริเวณเกาะกูด เกาะช้าง และหมู่เกาะในพื้นที่ใกล้เคียง
จีนใช้สื่อสังคมออนไลน์และแอปพลิเคชัน WeChat เป็นช่องทางแจ้งเตือนพลเมืองชาวจีนในกัมพูชาให้ระมัดระวังความปลอดภัย โดยสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกัมพูชาออกประกาศผ่านบัญชีทางการ WeChat ถึงความขัดแย้งรอบใหม่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งขอความร่วมมือชาวจีนที่อยู่อาซัยในกัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชายแดน เช่น จังหวัดพระวิหาร จังหวัดอุดรมีชัยและจังหวัดบันเตียเมียนเจย ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน และถ้าหากไม่มีความจำเป็นขอให้หลีกเลี่ยงเดินทางไปยังพื้นที่ดังกล่าว
ฟิลิปปินส์ ซึ่งมีสถานะเป็นประธานอาเซียนในปี 2569 ได้ให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์ไทย-กัมพูชาเช่นกัน โดยสถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์/กรุงเทพฯ เมื่อ 8 ธันวาคม 2568 เผยแพร่คำเตือนให้พลเรือนชาวฟิลิปปินส์ที่อยู่อาศัยหรือมีที่พำนักบริเวณพื้นที่ชานแดนไทย-กัมพูชา ตื่นตัวและติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง ปฏิบัติตามข้อแนะนำของหน่วยงานท้องถิ่น โดยเฉพาะชาวฟิลิปปินส์ที่อยู่ใน จ.อุบลราชธานี จ.ศรีษะเกษ จ.บุรีรัมย์ จ.สุรินทร์ จ.สระแก้ว จ.จันทบุรี และ จ.ตราด เนื่องจากฟิลิปปินส์ประเมินว่าสถานการณ์ยังมีความอ่อนไหวสูง รวมทั้งไม่แนะนำให้ชาวฟิลิปินส์อื่น ๆ เดินทางเข้าไปในพื้นที่ด้วย
สำหรับสถานเอกอัครราชทูตไทยในต่างประเทศที่ออกคำเตือนคนไทย ได้แก่ ณ กรุงโซล เกาหลีใต้ ที่ประกาศเมื่อ 8 ธันวาคม 2568 เตือนชาวไทยในเกาหลีใต้ให้หลีกเลี่ยง และระมัดระวังการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีชุมชนชาวกัมพูชา จำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงกลางคืน เนื่องจากเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีแรงงานกัมพูชาอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีรายงานกว่า 40,000 คน
แม้นานาชาติแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ดี ไทยได้สร้างเชื่อมั่นเกี่ยวกับการเดินทางทางอากาศ โดยไม่มีการปิดน่านฟ้า สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ยืนยันว่า การเดินอากาศทั้งในประเทศและระหว่างประเทศของไทยยังคงสามารถดำเนินการได้ตามปกติ และเส้นทางบินเข้า-ออกประเทศไทยยังคงเปิดให้บริการได้ครบทุกเส้นทาง โดยไม่มีการปิดน่านฟ้าหรือจำกัดการปฏิบัติการบินในภาพรวมของประเทศ พร้อมกับประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อดำเนินการกำหนด “พื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง” (Conflict Zone) เพื่อแจ้งแก่สายการบินพาณิชย์และผู้ทำการบินทั่วไปให้รับทราบ และใช้ประโยชน์ในการวางแผนเส้นทางการบินได้อย่างปลอดภัย







