![]()

นักวิเคราะห์ในต่างประเทศเริ่มประเมินสาเหตุและแนวโน้มสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา โดยเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ และบทบาทของกองทัพ สำหรับมุมมองที่น่าสนใจ เช่น สำนักข่าว BBC ประเมินว่าสาเหตุที่ทำให้ความตึงเครียดและความขัดแย้งในครั้งนี้ยืดเยื้อ รวมทั้งไม่สามารถยุติการใช้กำลังทหารระหว่างกันได้ เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีแนวทางการจัดการปัญหาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยฝ่ายไทยต้องการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี และไม่ต้องการให้นานาชาติเข้าไปแทรกแซงหรือมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาชายแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน
ขณะที่กัมพูชา พยายามดึงนานาชาติ ทั้งมหาอำนาจและสมาชิกอาเซียน เข้าไปมีบทบาทในการแก้ไขความตึงเครียดครั้งนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ของสำนักข่าว BBC ระบุว่าสาเหตุที่กัมพูชาใช้แนวทางดังกล่าวเพราะเชื่อว่าจะเพิ่มความได้เปรียบในการเจรจากับไทย เพราะกัมพูชามีอำนาจต่อรองน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม กองทัพกัมพูชาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องบริเวณพื้นที่พรมแดน สะท้อนว่ามีความมุ่งหมายและตั้งใจที่จะยั่วยุฝ่ายไทย
การที่ไทยและกัมพูชามีมุมมองต่อแนวทางแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน ทำให้ไม่มีความพร้อมที่จะปฏิบัติตามความตกลงที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปร่วมผลักดันและเป็นพยานที่มาเลเซีย เมื่อตุลาคม 2568 สถานการณ์นี้อาจสะท้อนว่า บทบาทของผู้นำสหรัฐฯ ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา เนื่องจากผู้นำสหรัฐฯ ใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ให้ข้อเสนอหรือสนับสนุนการทูตที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง พร้อมประเมินว่าหากมีความตกลงครั้งใหม่ที่ต่างประเทศเป็นผู้หลักดัน ก็มีโอกาสสูงมากที่จะไม่สำเร็จหรือค้ำประกันสันติภาพได้ระยะยาว
ปัจจัยการเมืองภายในของกัมพูชามีผลต่อสถานการณ์และความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะบทบาทของสมเด็จฯ ฮุนเซน ซึ่งแม้ว่าจะพยายามเผยแพร่ข้อมูลว่ากัมพูชาถูกประเทศเพื่อนบ้านข่มเหง แต่สมเด็จฮุนเซนฯ เป็นฝ่ายตั้งใจปล่อยข้อมูลที่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลไทย และกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนชาวไทยสนับสนุนกองทัพไทยมากขึ้น
สำนักข่าวต่างประเทศบางส่วนอ้างความคิดเห็นของนักวิชาการไทยในต่างประเทศ ที่เชื่อมโยงสถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา เข้ากับการเมืองไทย และสาเหตุสำคัญที่ทำให้ความตึงเครียดยืดเยื้อ คือ ปัญหาเขตแดนระหว่างประเทศ และแนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง ที่จะถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง พร้อมทั้งประเมินว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาจะยังมีความตึงเครียดต่อไปในระยะยาว ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้ง 2 ประเทศที่เคยอยู่อาศัยและดำเนินธุรกิจบริเวณพื้นที่ชายแดน โดยปัจจุบันมีผู้ได้รับผลกระทบจากการปะทะทางการทหารแล้วอย่างน้อย 500,000 ราย
ส่วนประเด็นที่น่าจับตามองต่อไป คือ บทบาทของอาเซียนที่เผชิญความท้าทายอย่างมากจากความขัดแย้งครั้งนี้ เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในการเป็นกลไกกลางแก้ไขความขัดแย้งระหว่างสมาชิก รวมทั้งเป็นความเสี่ยงที่ทำให้ประเทศมหาอำนาจเข้าแทรกแซงอาเซียนได้มากขึ้นในอนาคต







