ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อ 8 เมษายน 2568 ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มเติม เพื่อตอบโต้ที่จีนจะใช้มาตรการภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ร้อยละ 34 ทำให้ปัจจุบัน สินค้าจีนที่จะนำเข้าไปยังสหรัฐฯ ต้องเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงสุดถึงร้อยละ 104 มาตรการนี้จะเริ่มต้นทันทีใน 9 เมษายน 2568 ท่าทีดังกล่าวสะท้อนว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ไม่พอใจการตัดสินใจของจีน ที่ไม่เข้าไปเจรจาทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ตามแผน และไม่ยอมยกเลิกการขึ้นภาษีต่อสินค้าสหรัฐฯ ด้านจีนระบุว่าคัดค้านการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และวิจารณ์ว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด เหตุการณ์ตอบโต้ด้วยอัตราภาษีนำเข้านี้ทำให้ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ผันผวนและตกต่ำ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะเดินหน้าการขึ้นภาษีต่อจีน เพราะไม่พอใจท่าทีของจีนอย่างมาก ทั้งนี้ จีนเป็นคู่ค้าสำคัญใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ มูลค่า 439,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปี 2567
ทั่วโลกกำลังติดตามและประเมินแนวโน้มการตอบโต้ของจีน มีความเป็นไปได้ที่จีนจะเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นกัน โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มผลผลิตทางการเกษตร ตลอดจนอาจยกเลิกความร่วมมือด้านการต่อต้านยาเสพติด การระงับสิทธิธุรกิจชาวอเมริกันในการลงทุนบางสาขาที่จีน และคว่ำบาตรภาพยนตร์จากสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าจีนไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่ต้องแสดงให้นานาชาติเห็นว่าไม่ตกเป็นฝ่ายถูกกดดันหรือเสียเปรียบสหรัฐฯ เพราะจีนต้องการรูปแบบความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน และไม่ยอมรับการให้สหรัฐฯ เป็นผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจละการเงินโลกเพียงหนึ่งเดียว
การตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ประกาศมาตรการอย่างรวดเร็วครั้งนี้ ทำให้นักลงทุนและนักธุรกิจไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ผันผวน และวิตกกับทิศทางเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอการเติบโต ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนเชื่อว่า จีนจะใช้โอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์เชิงลบให้สหรัฐฯ ว่าเป็นประเทศที่คุกคามประเทศอื่น ๆ ก่อน แต่จีนต้องกำหนดนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มาตรการภาษีตอบโต้ซ้ำเติมวิกฤตอสังหาริมทรัพย์และปัญหาว่างงานในประเทศ
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่มีหลากหลายชนิด โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จะทำให้ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น ชาวอเมริกันบางส่วนกังวลกับผลกระทบนี้จะเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติสหรัฐฯ เร่งระงับยับยั้งอำนาจประธานาธิบดีทรัมป์ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษี อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่าได้เจรจากับผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก ที่ต้องการให้สหรัฐฯ ลดภาษี แลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ชาวอเมริกันจะได้รับ โดยรัฐบาลสหรัฐฯ จะเจรจาและพิจารณาข้อตกลงเป็นรายประเทศ จึงอาจมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน