จีนและสหรัฐฯ ประชุมและตกลงร่วมกันว่า จะเลื่อนการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ระหว่างกันออกไปอีก 90 วัน โดยเริ่มใน 12 สิงหาคม 2568 และจะสิ้นสุดใน 10 พฤศจิกายน 2568 โดยจะใช้อัตราภาษีที่ร้อยละ 30 ต่อสินค้านำเข้าจากจีน และสินค้าที่ส่งไปจีนจะเสียที่ร้อยละ 10 การบรรลุข้อตกลงร่วมกันครั้งนี้ เป็นผลจากการประชุม U.S.-China Economic and Trade Meeting ที่สต็อกโฮล์ม สวีเดน ระหว่าง 28-29 กรกฎาคม 2568 เพื่อให้ปฏิบัติตาม Geneva Joint Statement ที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันไปเมื่อ 12 พฤษภาคม 2568 และการพบที่ลอนดอนเมื่อ 9-10 มิถุนายน 2568
การที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนสามารถตกลงกันได้ในเรื่องการตอบโต้ทางภาษีตอบโต้ ถือเป็นเป็นพัฒนาการที่สำคัญและเป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สะท้อนว่า จีนและสหรัฐฯ เห็นพ้องที่จะลดระดับความขัดแย้งในประเด็นการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกัน ตลอดจนช่วยส่งเสริมบรรยากาศความมั่นคงเศรษฐกิจโลก สำหรับขั้นตอนต่อไป จีนกับสหรัฐฯ จะใช้กลไกทีมเจรจาและที่ปรึกษาเพื่อหารือกันอย่างใกล้ชิดในประเด็นนโยบายการค้า และการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติ
จีนมีท่าทีเชิงบวกต่อความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ในประเด็นการค้า โดยประกาศว่าการเจรจาเลื่อนกำหนดการใช้มาตรการภาษีตอบโต้กันครั้งนี้เป็นความสำเร็จ และสะท้อนว่าสหรัฐฯ ไม่สามารถยอมรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากการบังคับใช้อัตราภาษีดังกล่าวได้ รวมทั้งสหรัฐฯ น่าจะประเมินแล้วว่าการทำสงครามการค้ากับจีนจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เสี่ยงถดถอย และน่าจะเอื้อประโยชน์ต่อชาวอเมริกันในการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่สหรัฐฯ ต้องเริ่มนำเข้าสินค้าแล้ว หากอัตราภาษีนำเข้าจากจีนยังอยู่ในอัตราที่สูงก็จะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของชาวอเมริกันในช่วงเทศกาลใช้จ่ายได้
อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ย้ำว่าจีนยังคงมีจุดยืนเดิมที่จะหารือกับสหรัฐฯ อย่างเท่าเทียมเพื่อแก้ไขปัญหาระหว่างกันต่อไป ซึ่งตลอดระยะเวลาที่มีการเจรจากันอย่างน้อย 3 ครั้ง นับแต่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นอัตราภาษีตอบโต้เมื่อเมษายน 2568 (ที่เจนีวา ลอนดอน และสต็อกโฮล์ม) จีนได้ยืนยันว่าสนับสนุนการพูดคุยและเจรจาเพื่อยุติสงครามภาษีตอบโต้ และทำให้นานาชาติ รวมทั้งสหรัฐฯ เห็นว่าจีนพร้อมใช้การสื่อสารระหว่างกันเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและควบคุมความขัดแย้ง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และตลาดการเงินของโลก
นักวิชาการจีนประเมินว่าการเลื่อนมาตรการภาษีตอบโต้ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะเป็นโอกาสให้ทั้ง 2 ประเทศสามารถเจรจากันเรื่องนโยบายการค้า การนำเข้าและการส่งออก รวมทั้งการควบคุมสินค้าต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าสำคัญของทั้ง 2 ประเทศ ได้แก่ เหล็กและอะลูมิเนียม รถยนต์และส่วนประกอบ ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์ ยารักษาโรค และอุปกรณ์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญของจีนเชื่อว่าการเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ครั้งต่อไป จะมีประเด็นหารือสำคัญอย่างน้อย 3 เรื่อง ได้แก่ 1) แก้ไขอุปสรรคการค้าระหว่างกันจากนโยบายภาษี 2) แก้ไขอุปสรรคการค้าจากนโยบายที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) เช่น ข้อบังคับที่กำหนดขึ้นฝ่ายเดียวหรือเป็นไปตามระเบียบระหว่างประเทศ และ 3) แก้ไขอุปสรรคด้านการลงทุนระหว่างกัน