ประธานาธิบดีปราโบโว ซูเบียนโตของอินโดนีเซียเป็นประธานพิธีขยายโครงสร้างกองทัพอินโดนีเซีย (TNI) ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อ 10 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์ฝึกและศึกษาของหน่วยรบพิเศษกองทัพบก (Kopassus) ในเมืองบาตูจาฮาร์ จังหวัดชวาตะวันตก โดยประกาศจัดตั้งกองบัญชาการและหน่วยทหารใหม่ 162 แห่ง ครอบคลุมกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของกองทัพในการป้องกันประเทศ ท่ามกลางสภาวะที่โลกเผชิญความไม่แน่นอนจากสงครามและความขัดแย้งที่เกิดเพิ่มมากขึ้น
โครงการใหม่ของกองทัพอินโดนีเซีย ประกอบด้วย 1) กองบัญชาการทหารภูมิภาค หรือ Kodam เพิ่มขึ้น 6 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ ตั้งแต่หมู่เกาะสุมาตรา ไปจนถึงสุลาเวสี กาลิมันตัน และปาปัวใต้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันชายแดนและดูแลพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความขัดแย้ง 2) ฐานทัพเรือหลัก (Lantamal)
14 แห่ง 3) กองบัญชาการภูมิภาคกองทัพอากาศ (Kodau) 3 แห่ง รวมถึง หน่วยรบพิเศษและหน่วยภาคพื้นดินอีกมากมาย อาทิ กองรบพิเศษ Kopassus ใหม่ 6 กลุ่ม กองพลนาวิกโยธิน 1 กองพล กรมทหารหน่วยรบพิเศษกองทัพอากาศ (Kopasgat) 1 กรม และกองพันพัฒนาพื้นที่ 100 กองพันที่จะประจำการใน 514 เขตและเทศบาล
ประธานาธิบดีปราโบโวยังประกาศแต่งตั้งนายทหารระดับสูงใหม่ 49 นาย สอดคล้องตามระเบียบประธานาธิบดี (Perpres) ฉบับที่ 84/2568 ซึ่งเพิ่มจำนวนตำแหน่งนายพลจาก 371 ตำแหน่งเป็น 420 ตำแหน่ง รวมถึงการรื้อฟื้นตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด หลังจากเว้นว่างไปมากกว่าสองทศวรรษ ปัจจุบันคือ พลเอก Tandyo Budi Revita ทำหน้าทีjประสานงานระหว่างกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ รวมถึงทำหน้าที่แทนผู้บัญชาการทหารสูงสุดในภาวะที่จำเป็น นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หัวหน้าหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม 3 คน และผู้นำ Kodam ใหม่ 6 คน
เหตุผลสำคัญของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่นี้ ประธานาธิบดีปราโบโว ระบุว่าเพื่อเสริมศักยภาพในการปกป้องอธิปไตยและทรัพยากรของอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน เช่น ทะเลนอร์ทนาทูนา พร้อมทั้งยกตัวอย่าง สงครามในยุโรปและตะวันออกกลางเป็นเครื่องเตือนใจถึงภัยคุกคามด้านความมั่นคงระดับโลก อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมกังวลว่าการปรับโครงสร้างกองทัพโดยเน้นกำลังแบบดั้งเดิมมากเกินไป โดยไม่มีการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ข่าวกรอง และขีดความสามารถด้านความหลากหลายอาจทำให้อินโดนีเซียมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิมได้
การเปลี่ยนแปลงกองทัพครั้งใหญ่เกิดขึ้นพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของงบประมาณด้านกลาโหมของอินโดนีเซีย และสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของประธานาธิบดีปราโบโวในการขยายบทบาทของกองทัพในกิจการพลเรือน ซึ่งรวมถึงการจัดทำโครงการอาหารฟรีของรัฐบาล และการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทหารสามารถดำรงตำแหน่งพลเรือนได้มากขึ้น ส่งผลให้นักวิจารณ์บางส่วนแสดงความกังวลว่าการกระทำนี้อาจเป็นการฟื้นคืนอิทธิพลของกองทัพที่เคยเป็นลักษณะเด่นในยุคเผด็จการในอดีตของอินโดนีเซียและอาจส่งผลกระทบต่อประชาธิปไตยในประเทศได้