โลกกำลังถูกปัญหาถาโถมเข้ามาในแทบทุกด้าน ทั้งการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ที่กดดันให้หลายประเทศต้องเปลี่ยนนโยบายภาครัฐและภาคธุรกิจใหม่ การตอบโต้ทางการค้าระหว่างมหาอำนาจโลกอย่างจีนกับสหรัฐฯ สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ที่กำลังพยายามหาทางออก แต่ยังไม่บรรลุผล สภาพการเมืองระหว่างประเทศและเศรษฐกิจโลกที่กำลังคุกรุ่นนี้เอง เป็นแรงกดให้ประชาชนที่ประสบปัญหาเลี้ยงชีพและคนรุ่นใหม่เริ่มตั้งคำถามว่า หรือแนวทางแบบเดิม ๆ จะไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป ? จึงมาถึงจุดรวมตัวกันออกเดินบนถนน เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเทศของตัวเอง เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในหลายประเทศทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ
การประท้วงในเนปาลเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดจนทำให้เกิดการเปลี่ยนรัฐบาล ความรุนแรงถึงจุดสูงสุดเมื่อ 8 กันยายน 2568 มีการบุกรุกและเผาทำลายสถานที่หน่วยงานรัฐ เผาที่พักอาศัยกลุ่มชนชั้นนำของรัฐบาลเนปาล การรุมทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาล หลังการชุมนุมครั้งนี้ มีรายงานผู้เสียชีวิตไม่น้อยกว่า 72 รายและบาดเจ็บมากกว่า 2,000 คน โดยสาเหตุมาจากการที่รัฐบาลระงับการเข้าถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม GEN Z ที่ไม่พอใจรัฐบาลมานานจากปัญหาการทุจริต การใช้ชีวิตหรูหราของรัฐบาลและเครือญาติ ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกัน
ก่อนหน้านี้ ก็เกิดการประท้วงในอินโดนีเซียที่มาจากความไม่พอใจนโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น การตัดงบประมาณด้านการศึกษา เพิ่มเงินสวัสดิการของสมาชิกรัฐสภา และการเพิ่มบทบาทของกองทัพทางการเมือง โดยประชาชนส่วนหนึ่งมองว่ารัฐบาลเอื้อประโยชน์นายทุน และไม่ได้มีสวัสดิการสำหรับกลุ่มแรงงานจากรัฐที่เพียงพอ จนกระทั่งกรณีการปราบปรามผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐ เมื่อ 29 สิงหาคม 2568 จนทำให้ชายคนหนึ่ง ซึ่งกำลังทำงานไรเดอร์ GRAB เสียชีวิต ซึ่งเป็นจุดประทุให้การชุมนุมทวีความรุนแรงมากขึ้น
หลังการประท้วงในเนปาล เกิดการประท้วงในฟิลิปปินส์ เมื่อ 21 กันยายน 2568 มีผู้ชุมนุมประมาณ 50,000 คนรวมตัวกันกลางกรุงมะนิลา เพื่อประท้วงการทุจริตของรัฐบาลในโครงการป้องกันน้ำท่วมที่มีกว่า 9,000 โครงการ และกระจายอยู่ทั่วประเทศ แต่กลับถูกวิจารณ์ว่าล้มเหลว รวมทั้งมีชาวฟิลิปปินส์ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมอย่างรุนแรง ซึ่งสูญเสียงบประมาณไปกว่า 9,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การชุมนุมมีความรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นการปะทะกับเจ้าหน้าที่ และทำลายทรัพย์สินสาธารณะ จนนำไปสู่การถูกจับควบคุมตัวผู้ชุมนุมกว่า 70 คน
หากข้ามไปยังฟากฝั่งตะวันตก สหราชอาณาจักรก็เผชิญกับการประท้วงของประชาชนเช่นกัน โดยเมื่อ 13 กันยายน 2568 กลุ่มผู้ประท้วงขวาจัด (far-right) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการประท้วงครั้งนี้มากกว่า 110,000 คน คัดค้านนโยบายของรัฐบาลที่จะรับผู้อพยพและผู้ลี้ภัยมากขึ้น รวมทั้งการจัดสถานที่ลี้ภัยไว้ทั่วประเทศ ซึ่งกลุ่มผู้ลี้ภัยจำนวนหนึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องต่อการทำผิดกฎหมาย และยังมีประเด็นที่คนอังกฤษส่วนหนึ่งถูกแย่งงานจากการเข้ามาของผู้ลี้ภัย นำไปสู่การใช้ความรุนแรงระหว่างผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่จนมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บถึง 26 คน
เหตุการณ์ในฝรั่งเศสก็รุนแรงไม่แพ้กัน เมื่อ 19 กันยายน 2568 รัฐบาลต้องระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 80,000 นาย เพื่อควบคุมผู้ประท้วงในหลายเมืองทั่วประเทศ จากความไม่พอใจต่อการบริหารงานและการใช้มาตรการรัดเข็มขัด โดยเฉพาะแผนการตัดลดงบประมาณที่ครอบคลุมถึงสวัสดิการรัฐ ทำให้ประชาชนกังวลว่าจะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ขณะเดียวกัน ปัญหาทางเศรษฐกิจยังทวีความซับซ้อนจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย–ยูเครน ที่ส่งผลให้ราคาพลังงานและสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งซ้ำเติมความไม่พอใจของประชาชนที่กำลังเผชิญค่าครองชีพแพงอยู่ แต่กลับเห็นทรัพยากรของประเทศถูกใช้ไปกับการให้ความช่วยเหลือยูเครน
การประท้วงในช่วงเวลาใกล้ ๆ กันนี้ แม้ว่าในแต่ละประเทศมีเหตุผลที่ออกมาชุมนุมที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งที่คล้ายกัน คือประชาชนกำลังพบความยากลำบากทางเศรษฐกิจ และปัญหาทุจริตของรัฐบาลที่มากขึ้น ถึงในระดับที่ประชาชนไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้อีกต่อไป การรวมตัวกันประท้วงรัฐบาลจึงเป็นทางเลือกหลัก ไม่ว่าจะเรียกร้องให้มีการช่วยเหลือ หรือเปลี่ยนแปลงแนวทางเดิมของรัฐบาล หากไม่สามารถทำทั้งสองประการได้ ความรุนแรงอาจขยายตัวจนกลายเป็นจุดสิ้นสุดของรัฐบาลดังที่เกิดขึ้นในเนปาล
สถานการณ์โลกที่กำลังตึงเครียดในปัจจุบันได้สร้างแรงกดดันต่อประเทศต่าง ๆ ทั้งจากปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจโลก จนนำไปสู่การประท้วงที่ปะทุขึ้นภายในประเทศ ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกัน และกำลังดำเนินไปในหลายภูมิภาค หากแนวโน้มการเมืองและเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นเช่นนี้ มีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองผ่านการลุกขึ้นเดินถนนของประชาชนในหลายประเทศมากขึ้น
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ รัฐบาลแต่ละประเทศต้องรักษาสมดุลระหว่างการจัดการปัญหาภายในประเทศ และแรงกดดันจากภายนอก การสร้างความพึงพอใจให้ผู้ประท้วงอาจทำได้ผ่านการใช้นโยบายที่ตอบโจทย์จริง การปรับปรุงระบบสวัสดิการ และการรับฟังเสียงของประชาชน ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องหาทางดำรงอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายจากเวทีระหว่างประเทศ ในมิติความร่วมมือ ผู้นำโลกควรใช้กลไกทั้งทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการเมืองร่วมกัน เพื่อมิให้ปัญหาเหล่านี้ยืดเยื้อและซ้ำเติมเสถียรภาพของประเทศต่าง ๆ ให้สั่นคลอนยิ่งขึ้น