รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากรวันดาและคองโก ประเทศในภูมิภาคแอฟริกาเมื่อ 27 มิถุนายน 2568 ได้ลงนามในข้อตกลงสันติภาพ (peace treaty) ระหว่างกันที่ทำเนียบประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ารัฐบาลของทั้ง 2 ประเทศต้องการยุติความขัดแย้งและความรุนแรงที่ยาวนาน จากประเด็นชาติพันธุ์ การเมือง และความเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธ
การลงนามครั้งนี้มีรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เข้าร่วมด้วย ตลอดจนมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ร่วมลงนามในข้อตกลงสันติภาพระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ใช้โอกาสนี้ประกาศความสำเร็จในการทำให้ 2 ประเทศยุติความขัดแย้ง และเป็นผลงานการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ สิ่งที่สหรัฐฯ จะได้จากคองโกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนคือ การที่สหรัฐฯ จะเข้าถึงแร่สำคัญในภาคตะวันออกของประเทศ คาดว่ามีมูลค่ามากกว่า 24 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
การลงนามในข้อตกลงสันติภาพครั้งนี้ เป็นขั้นตอนส่งเสริมความมั่นคงและเสถียรภาพในรวันดาและคองโก เนื่องจากที่ผ่านมา ทั้ง 2 ประเทศเผชิญความขัดแย้งตั้งแต่กลุ่มติดอาวุธ M23 บุกยึดครองพื้นที่ทางตะวันออกของคองโก รวมทั้งพยายามบุกยึดเมืองหลวงและท่าอากาศยานสำคัญ ทำให้การเมืองภายในคองโกขาดเสถียรภาพและมีความรุนแรงต่อเนื่อง จนรัฐบาลคองโก นำโดยประธานาธิบดี Félix Tshisekedi ต้องร้องขอให้สหรัฐฯ ช่วยเหลือ
นอกจากนี้ ผู้นำคองโกเชื่อว่ารวันดา ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน สนับสนุนกลุ่ม M23 มาโดยตลอด โดยอ้างหลักฐานจากการสืบสวนขององค์กรสหประชาชาติ (UN) ที่เข้าไปในพื้นที่เพื่อมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แล้วพบว่ากองทัพรวันดาฝึกฝนและให้ความรู้ด้านการทหารแก่สมาชิกกลุ่ม M23
ประธานาธิบดี Paul Kagame ของรวันดาปฏิเสธ และย้ำว่าความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีจุดเริ่มต้นจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวรวันดาเมื่อปี 2537 ที่กลุ่มชาติพันธุ์และกองกำลังติดอาวุธชาว Hutu สังหารชาวรวันดามากกว่า 800,000 คน จากนั้นหนีไปหลบซ่อนที่คองโก และปัจจุบัน ผู้นำรวันดาก็ยังเชื่อว่ากลุ่มติดอาวุธที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าวยังเป็นภัยคุกคามสำคัญของประเทศ ที่ผ่านมา จึงมีนโยบายด้านการทหารแข็งกร้าวต่อคองโก
เหตุความรุนแรงในอดีต ประกอบกับผลประโยชน์ด้านการครอบครองแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ ทำให้รวันดาและคองโกมีความสัมพันธ์ในรูปแบบขัดแย้งกันมาตลอด จนกระทั่งสถานการณ์ในคองโกเริ่มเสี่ยงอันตรายและอาจตกอยู่ภายใต้การปกครองของกองกำลังติดอาวุธ ทำให้นานาชาติเริ่มให้ความช่วยเหลือ ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปี 2568 กาตาร์และสหรัฐฯ แสดงบทบาทเป็นผู้ประสานงานการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศ จนกระทั่งบรรลุข้อตกลงเมื่อ 27 มิถุนายน 2568 มีผลให้ทั้ง 2 ประเทศต้องร่วมมือกันออกแบบความร่วมมือด้านเศรษฐกิจภายใน 90 วัน และจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างกันภายใน 30 วัน พร้อมกันนี้ ทหารรวันดาต้องถอนกำลังออกจากคองโกภายใน 3 เดือน นอกจากนี้ ทั้ง 2 ประเทศจะเปิดโอกาสให้ผู้ที่ได้รับกระทบจากความขัดแย้งเดินทางกลับภูมิลำเนาด้วย