![]()

ปัจจุบัน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence-AI) ได้รับความนิยมและเผยแพร่เพื่อการใช้งานอย่างเป็นวงกว้าง เพราะการพัฒนา AI ส่วนหนึ่งจะต้องมาจากประสบการณ์ของผู้ใช้งานที่หลากหลายด้วย อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จาก AI มีทั้งโอกาสและความท้าทาย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน การป้อนข้อมูล และเป้าหมายของผู้ใช้งาน ล่าสุด มีรายงานว่ากลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธจะใช้เทคโนโลยี AI เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ โน้มน้าวหาสมาชิกใหม่ และเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
นาย John Laliberte ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้บริหารบริษัท Clear Vector ผู้ให้บริการด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และอดีตนักวิจัยของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ให้ความเห็นเมื่อ 15 ธันวาคม 2568 ว่า เทคโนโลยี AI ทำให้กลุ่มผู้ก่อการร้ายเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องลงทุนมาก ก็สามารถสร้างคลิปวิดีโอที่น่าเชื่อถือ และสร้างข้อมูลที่โน้มน้าวความเชื่อของคนทั่วไปได้ และผู้เชี่ยวชาญเตือนด้วยว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นเพียงขั้นตอน “การทดลองใช้” เทคโนโลยี AI ให้เกิดประโยชน์ต่อความเคลื่อนไหวของกลุ่ม
สำหรับแอปพลิเคชัน AI ที่กลุ่มก่อการร้ายเริ่มทดลองใช้งาน คือ ChatGPT เนื่องจากเข้าถึงง่ายและใช้งานได้สะดวกตั้งแต่ปี 2567 ซึ่งกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธใช้แอปพลิเคชันดังกล่าวในการสร้างภาพและคลิปวิดีโอที่เสมือนจริง ไว้ใช้ในการเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ พร้อมทั้งโน้มน้าวบุคคลทั่วไปให้เห็นด้วยกับอุดมการณ์และความเคลื่อนไหวของกลุ่ม เพราะ AI มีความสามารถในการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและหลากหลาย กลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธที่ไม่มีงบประมาณมาก หรือไม่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ก็สามารถทดลองใช้ AI เพื่อทำข้อมูลในการหลอกลวงหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงได้
ผู้เชี่ยวชาญมีข้อสังเกตว่า กลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธใช้ AI และอัลกอริทึมในการเผยแพร่ข้อมูลมากขึ้นในช่วงที่มีสงครามอิสราเอล-ฮะมาส ทำให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลงเชื่อและสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย หรือก่อเหตุรนแรงเพื่อแสดงออกถึงอุดมการณ์เกลียดชังชาวยิว (antisemitic) นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่างกรณีเหตุกลุ่ม IS อ้างว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุกราดยิงในฮอลล์แสดงดนตรีในกรุงมอสโก เมื่อ มีนาคม 2567 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 60 คน และได้รับบาดเจ็บมากกว่า 100 คน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว กลุ่ม IS ได้โพสต์คลิปวิดีโอที่ใช้ AI สร้างขึ้น เพื่อโฆษณาชวนเชื่อให้มีผู้สนับสนุนก่อเหตุรุนแรงดังกล่าว รวมทั้งหาผู้สนับสนุนใหม่
สถาบัน SITE Intelligence Group บริษัทด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ยังมีข้อมูลว่า กลุ่มก่อการร้ายอย่างกลุ่ม IS ยังใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อสร้างเนื้อหาเข้าถึงบุคคลกลุ่มต่าง ๆ นอกจากภาพ คลิปเสียง และคลิงปวิดีโอ คือการใช้ AI ช่วยแปลภาษาเพื่อดึงดูดผู้สนับสนุนจากหลากหลายกลุ่มทั่วโลก
อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ (CIA) ประเมินว่ากลุ่มก่อการร้ายมีแนวโน้มใช้ AI มากขึ้น แม้ว่าจะเป็นอันตรายหรือภัยคุกคามน้อยกว่าความพยายามของจีน รัสเซีย และอิหร่านที่ใช้ AI เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองระหว่างประเทศ แต่การที่กลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มติดอาวุธจะใช้ AI มากขึ้น ก็น่ากังวลอย่างมาก เพราะนอกจากการทำข้อมูลเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความเข้าใจผิด และเผยแพร่อุดมการณ์ณ์หัวรุนแรงสุดโต่งแล้ว กลุ่มเหล่านี้มีแนวโน้มจะใช้ AI เป็นเครื่องมือการโจมตีทางไซเบอร์ด้วย เพราะ AI สามารถเขียนโปรแกรมและโค้ดในการโจมตีได้ ตลอดจนอาจใช้ AI เพื่อพัฒนาอาวุธชีวภาพหรืออาวุธเคมี ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมาก
มุมมองของนักวิเคราะห์ด้านความมั่นคงไซเบอร์ สอดคล้องกับการประเมินภัยคุกคามของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ เมื่อต้นปี 2568 ที่ระบว่า เทคโนโลยี AI เสี่ยงกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มก่อการร้ายสากล และกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งที่เคลื่อนไหวในสหรัฐฯ (Domestic Violent Extremists-DVEs) ใช้ในการเผยแพร่อุดมการณ์ วางแผนปฏิบัติการ กำหนดเป้าหมายโจมตี ตลอดจนใช้สร้างเครื่องมือในการโจมตีทางไซเบอร์
ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เพราะต้องการกระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันใช้งาน AI ให้ปลอดภัย รวมทั้งให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยี AI ให้ความร่วมมือด้านการเปิดเผยข้อมูลผู้ใช้งานที่มีความเคลื่อนไหวเสี่ยงอันตรายด้วย นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่าความเคลื่อนไหวของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ มีขึ้นหลังจากผู้นำสหรัฐฯ คัดค้านกฎหมายควบคุม AI ซึ่งอาจทำให้เทคโนโลยีดังกล่าวสร้างความท้าทายด้านความมั่นคง และทำให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อมูลและมีความรู้เท่าทันการใช้ AI มากขึ้น







