![]()

สื่อต่างประเทศเมื่อ 27-28 ธันวาคม 2568 รายงานไปทิศทางเดียวกันถึงความคืบหน้าในการยุติความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศมีการลงนามในข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันเมื่อ 27 ธันวาคม 2568 โดยเริ่มตั้งแต่ 12.00 น. เป็นเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งจะมีการสังเกตการณ์จากอาเซียนให้ทำตามข้อตกลง ทั้งนี้ หากเป็นไปการดำเนินการตามข้อตกลง ไทยจะส่งคืนทหารกัมพูชาทั้ง 18 นาย กลับกัมพูชา
อย่างไรก็ดี ในมุมมองของสื่อส่วนใหญ่ แม้จะไปในทิศทางบวกที่ไทย-กัมพูชา สามารถทำข้อตกลงหยุดยิงได้เป็นการชั่วคราว แต่ก็มีการสอดแทรกความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งว่า หลังจากพ้น 72 ชั่วโมง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการไปอยู่ที่พักพิงจะสามารถกลับถิ่นฐานเดิมได้เมื่อไร รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในระยะยาว นอกจากนี้ ยังรายงานบทบาทของไทยที่พร้อมจะกลับมาปฏิบัติการทหารอีกครั้ง หากถูกรุกราน
สื่อยังวิจารณ์ถึงบทบาทของสหรัฐฯ ที่ไม่ได้เข้ามาเป็นสักขีพยานในการทำข้อตกลงเหมือนกับที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วมเมื่อ กรกฎาคม 2568 ที่มาเลเซีย แต่บทบาทของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็มีมากขึ้นทั้งก่อน และหลังข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้ รวมทั้งมีแถลงการณ์แสดงความยินดีที่ทั้งสองประเทศมีข้อตกลงหยุดยิง จากนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมกับเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศปฏิบัติตามการตกลงครั้งนี้ และข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ “Kuala Lumpur Peace Accords” ด้วย
สื่อยังรายงานว่าน่าติดตามบทบาทของจีนที่จะจัดหารือ 3 ฝ่าย ได้แก่ จีน ไทย และกัมพูชา ที่มณฑลยูนนานใน 28-29 โดยจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้ง 3 ฝ่ายเข้าร่วม เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นขัดแย้งไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ จีนมีท่าทีหลังการตกลงหยุดยิงว่าการเจรจา และการหารือระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดช่องทางแก้ไขปัญหาระหว่างกันได้ พร้อมกับจะคงสนับสนุน และหาช่องทางให้ทั้งสองประเทศให้มีการสื่อสารกันมากขึ้น รวมทั้งจีนจะแสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ที่จะให้ทั้งสองประเทศรื้อฟื้นการแลกเปลี่ยน กลับมาเสริมสร้างความไว้ใจ และการหารือสองฝ่ายระหว่างกันเพื่อเสถียรภาพในอาเซียน
สำหรับประเทศที่แสดงความยินดีต่อการหยุดยิงชั่วคราวระหว่างไทยกับกัมพูชา เมื่อ 27 ธันวาคม 2568 นอกจากสหรัฐฯ และจีน เช่น เวียดนาม ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และรัสเซีย ส่วนเลขาธิการสหประชาชาติชื่นชมจีน สหรัฐฯ และมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนที่ทำให้เกิดความสำเร็จครั้งนี้







