หลุมหลบภัยเมล็ดพันธุ์ การเก็บตัวเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ
ปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เนื่องมาจากสภาพแปรปรวนรุนแรง อากาศที่ร้อนขึ้น การใช้สารเคมีจนทำให้ดินเสื่อมโทรม รวมถึงแหล่งน้ำที่แห้งหายไป ทำให้พืชบางชนิดในภูมิประเทศต่างๆ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ และตกอยู่ในภาวะ “ใกล้สูญพันธ์” ซึ่งส่งผลต่อระบบนิเวศในระยะยาว ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ รัฐบาลนอร์เวย์ตระหนักถึงปัญหานี้ และได้สร้างห้องแช่ขนาดใหญ่ ชื่อ ห้องนิรภัยเมล็ดพืชโลกสฟาลบาร์ (Svalbard Global Seed Vault) ไว้ใต้ดิน เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์พืชกว่า 880,000 ชนิด ในอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส ที่ขั้วโลกเหนือเพื่อแช่แข็งเมล็ดพันธุ์พืชเหล่านี้ไว้ตลอดเวลา แต่มาตรการดังกล่าวจะป้องกันปัญหาการสูญพันธุ์ของพืชได้หรือไม่? เมื่อเมล็ดพืชที่ถูกเก็บในช่วงที่สภาพแวดล้อมสมบูรณ์ จะต้องถูกนำมาเพาะปลูกตอนที่สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรมไปแล้ว? กล่าวคือ เมื่อเมล็ดพืชที่ถูกเก็บไว้ในระยะเวลา 30 ปี ถูกนำมาเพาะปลูกอีกครั้ง สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ปริมาณแสงแดด อุณภูมิของอากาศ ปริมาณน้ำ และแร่ธาตุในดิน จะยังคงเพียงพอให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้อีกหรือไม่ ในทางกลับกัน เมื่อเราอาศัยการปรับตัว หรือวิวัฒนาการทางธรรมชาติ เป็นการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์พืชไปตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ในอดีต เราได้พบว่า พืชตระกูลแคคตัสเปลี่ยนใบที่มีลักษณะแผ่เป็นหนามเพื่อลดการคายน้ำในพื้นที่แห้งแล้ง หรือต้นอาคาเซียพัฒนาการให้สามารถปล่อยสารความหวานออกจากหนามเพื่อล่อมดให้มันป้องกันยีราฟที่เข้ามากินใบไม้ นั่นหมายความว่า วิธีการอนุรักษ์พันธุ์พืชให้ดำรงอยู่ต่อไป อาจเป็นการเพาะปลูกอยู่อย่างสม่ำเสมอและให้พืชนั้นปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างต่อเนื่องนั่นเอง ดังนั้น แนวคิดที่จะเป็นประโยชน์ต่อการขยายพันธุ์หรือรักษาเมล็ดพันธุ์ นั่นคือ “การเพาะปลูก”…