ผังเมืองหรือพังเมือง เมื่อเมืองที่เราอยู่เปลี่ยนไปตลอดเวลา
จากเหตุการณ์ระเบิดโรงงานโฟมในซอยกิ่งแก้วที่สร้างความเสียหายให้กับหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียง เกิดมลพิษที่มีความอันตรายไปทั่วพื้นที่ในเขตรัศมีไม่ต่ำกว่า 5 กิโลเมตร ทำให้เกิดข้อสงสัยของตำแหน่งที่ตั้งของชุมชนและโรงงานที่อยู่ใกล้กัน เกิดคำถามต่อการจัดการของผังเมืองซึ่งเป็นเครื่องมือการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่างๆ ให้เกิดความเหมาะสม ปลอดภัย และคุ้มค่า มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70 จะอาศัยอยู่ภายในเมือง ที่เป็นแหล่งรวมสิ่งต่างๆ ทั้งแหล่งงาน เทคโนโลยี ความสะดวกสบายและความบันเทิง และโอกาสทางการศึกษา …การเพิ่มขึ้นของจำนวนและความหนาแน่นของประชากร จะส่งผลให้หน้าตาของเมืองเปลี่ยนแปลงไป ตึกระฟ้าทะยานสูงขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยและการใช้พื้นที่ทำงาน ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยและพื้นที่ทำงานเท่านั้นที่เปลี่ยนจากการขยายตัวทางแนวนอนเป็นแนวตั้ง แม้แต่พื้นที่สีเขียวก็จำเป็นต้องอยู่ในแนวตั้ง และทะยานสูงขึ้นเพื่อผ่อนคลายความเครียดจากการใช้ชีวิตในพื้นที่ที่จำกัด และเมื่อคนจำนวนมากที่อยู่ในตึกสูงๆ ไหลลงสู่ถนนเพื่อเคลื่อนย้ายและใช้ชีวิต แต่ถนนยังคงมีขนาดเท่าเดิม ดังนั้น จึงต้องมีการพัฒนารูปแบบการขนส่งสาธารณะเสริมขึ้นมาทั้งใต้ดินและลอยฟ้า ปัจจุบัน เส้นทางขนส่งสาธารณะกลายเป็นตัวกำหนดการขยายเมืองไปอีกชั้นหนึ่ง เพราะเส้นทางของรถไฟฟ้าทำให้รูปแบบการขยายตัวเปลี่ยนไปจากการกระจุกตัวเป็นย่านล้อมรอบศูนย์กลาง (Concentric Zone Mode) ไปสู่การขยายตัวตามแนวรถไฟฟ้า (Linear Settlement) ในอนาคต…เราอาจจะเห็นคอนโดสูง 30 ชั้นตั้งอยู่กลางทุ่งนาในย่านชานเมือง ตราบใดที่มีรถไฟฟ้าไปถึง และเราอาจได้เห็นสถานบันเทิงอยู่ใกล้กับวัด หมู่บ้านที่อยู่บนทางน้ำหลาก หรือโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับโรงงานอุตสาหกรรมก็เป็นไปได้ หากยังไม่มีการวางแผนที่ดีหรือการบังคับใช้ผังเมืองอย่างจริงจัง สิ่งที่เล่ามา คือ แนวโน้มการเติบโตของเมืองกับพฤติกรรมการใช้งานของคนในเมืองปัจจุบัน ซึ่งถ้าเราลองย้อนกลับไปดูว่า เมืองได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?…











