ยุทโธปกรณ์จีนเป็นที่เตะตาในสมรภูมิอินเดีย-ปากีสถาน
ท่ามกลางความกังวลการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถานหลังอินเดียเปิดปฏิบัติการ “Sindoor” เมื่อช่วงต้นพฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นการเผชิญหน้าทางทหารครั้งสำคัญที่สุดระหว่างสองชาติคู่ขัดแย้งในรอบหลายทศวรรษ หลังเกิดเหตุโจมตีนักท่องเที่ยวที่เมืองตากอากาศ Pahalgam ในพื้นที่แคชเมียร์ส่วนที่อินเดียครอบครอง เมื่อ 22 เมษายน 2568 เป็นเหตุให้ชาวอินเดียเสียชีวิต 25 คน และชาวเนปาล 1 คน ดูเหมือนว่า การสู้รบที่เกิดขึ้นจะเป็นสื่อโฆษณาชั้นดีให้กับอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของจีน เนื่องจากปากีสถานใช้ยุทโธปกรณ์จากจีนในการตอบโต้อินเดียที่โจมตีเป้าหมายในปากีสถานและพื้นที่แคชเมียร์ส่วนที่ปากีสถานครอบครองด้วยยุทโธปกรณ์สัญชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบ โดรน ขีปนาวุธ และปืนใหญ่ แต่ที่สำคัญคือ เครื่องบินขับไล่ของจีนสอยเครื่องบินรบซึ่งผลิตโดยชาติตะวันตกที่อินเดียในการต่อสู้กับปากีสถาน การนำยุทโธปกรณ์จากจีนไปใช้การเผชิญหน้าจริงและสมรภูมิจริงของปากีสถานเป็นหน้าเป็นตาให้จีนเป็นอย่างมาก และกลายเป็นว่า จีนน่าจะได้ประโยชน์จากการรบระหว่างอินเดียกับปากีสถานครั้งนี้ โดยไม่เสียเลือดเนื้อและงบประมาณ เนื่องจากยุทโธปกรณ์และระบบอาวุธของจีน ทั้งเครื่องบินรบ ระบบเตือนภัยล่วงหน้า และขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศที่ปากีสถานนำมาใช้ เป็นที่จับตามองของหลายประเทศ เฉพาะเครื่องบินขับไล่ J-10 หรือ J-10CE ที่ปากีสถานอ้างว่าใช้ยิงเครื่องบินขับไล่ Rafales ที่ผลิตในฝรั่งเศส ซึ่งอินเดียใช้ในการปฏิบัติการ ตก แม้อินเดียไม่ยืนยัน การสู้รบระหว่างเครื่องบินสัญชาติจีนกับเครื่องบินตะวันตกที่เกิดขึ้นแสดงถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญของยุทโธปกรณ์สัญชาติจีน ซึ่งน่าจะช่วยให้ประเทศต่าง ๆ ยอมรับศักยภาพเทคโนโลยีป้องกันประเทศของจีน และจะเป็นโอกาสในการขยายการส่งออกอาวุธ เนื่องจากปัจจุบันจีนก็เป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตและส่งออก แต่แน่นอนว่าคุณภาพและประสิทธิภาพยังไม่อาจเทียบเท่าผู้ผลิตและส่งออกเจ้าเดิมที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศตะวันตก อีกทั้งขึ้นชื่อว่าจีนคุณภาพของสินค้ามักเป็นที่กังขาของผู้ซื้อ แม้ราคาจับต้องได้ก็ตาม…