ประชานิยม : วัฒนธรรมการเมืองที่หยั่งรากลึกในสังคมไทย ?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นโยบายประชานิยมดูเหมือนจะเป็นแนวทางหลักที่รัฐบาลไทยนำมาใช้ โดยเฉพาะในช่วงหาเสียงการเลือกตั้งที่พรรคการเมืองต่างแข่งขันกันเสนอนโยบายที่มุ่งตอบสนองต่อ “ปัญหาปากท้อง” ของประชาชนอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการแจกเงิน การอุดหนุน หรือการเพิ่มรายได้ในระยะสั้น ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชนในวงกว้าง อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งกลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่านโยบายเหล่านี้เป็นการมอมเมาประชาชน เนื่องจากเป็นนโยบายที่ให้ผลตอบแทนได้ทันที ทำให้ประชาชนเคยชินต่อการพึ่งพารัฐมากขึ้นแทนการที่รัฐส่งเสริมประชาชนให้พึ่งตนเองผ่านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ นโยบายประชานิยมยังเป็นสาเหตุไปสู่วัฒนธรรมการเมืองแบบแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า นโยบายประชานิยมเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานรากจริงหรือไม่ ? หากมองในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาของการเมืองไทย นับตั้งแต่ขั้นตอนการหาเสียงเลือกตั้ง แม้ว่าพรรคการเมืองจะมีนโยบายที่พร้อมเสนออยู่มากมายหลายมิติ แต่จากข้อมูลของนิด้าโพลได้เปิดเผยว่าในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 นโยบายประชานิยมคือนโยบายหลักที่มักถูกนำมาใช้หาเสียง และเป็นที่สนใจจากสาธารณะเสมอมักจะเป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากถูกใจประชาชน เป็นประเด็นสำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับชีวิตความเป็นอยู่ ในทางวิชาการ ประชานิยม หรือ Populism ไม่ได้เป็นนโยบายใดของพรรคใดพรรคหนึ่ง หากแต่เป็นแนวคิดทางการเมืองที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการต่อสู้ทางการเมือง นับแต่อดีตของคนสามัญชนชนชั้นรากหญ้าเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยมองว่ารัฐบาลจะต้องมองประชาชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดมากกว่าจะให้ชนชั้นนำหรือชนชั้นนายทุนเป็นผู้ควบคุมบงการ ดังที่นักวิชาการอย่าง Cas Mudde และ Cristóbal Rovira Kaltwasser ได้ให้คำนิยามว่า ประชานิยมคือ แนวคิดที่มองว่าสังคมถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มที่เป็นเนื้อเดียวกันและเป็นปฏิปักษ์กัน ได้แก่ ประชาชนผู้บริสุทธิ์ กับชนชั้นนำที่ฉ้อฉล และการเมืองควรเป็นเจตจำนงร่วมของประชาชน ทำให้เป้าหมายและอุดมการณ์ทางการเมืองแบบประชานิยมจึงมีนโยบายเป็นการมุ่งสร้างประโยชน์สนองความต้องการของประชาชนเป็นหลัก หากให้ความเป็นธรรมต่อนโยบายประชานิยม นโยบายนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิด หากเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน และประเทศ ซึ่งหลาย…