เส้นทางสีเขียว : การเชื่อมโยงระบบนิเวศกับเส้นทางซ้อนทับที่มองไม่เห็น
ระหว่างการเดินทางผ่านป่า หรืออุทยานเพื่อชื่นชมธรรมชาติอันแสนงดงาม ซึ่งเป็นปลายทางที่นักท่องเที่ยวมุ่งหน้าไปหา หลายครั้งที่ระหว่างเส้นทางเราจะเห็นป้าย “ระวังสัตว์ป่า” นั่นแปลว่าถนนเส้นนั้นอาจทำให้นักท่องเที่ยวต้องเผชิญกับสัตว์ป่าที่ดักหน้าหรือขวางทางไว้ ทำให้การจราจรต้องล่าช้าไป หรือเกิดการเผชิญหน้าจนเกิดเหตุสูญเสีย ปัจจุบัน ผืนป่าขนาดใหญ่เต็มไปด้วยเส้นทางมากมายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ร่มไม้สีเขียว และทุก ๆ ครั้งที่มีเส้นทางเส้นใหม่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการสัญจรของรถยนต์ นั่นก็เป็นการเพิ่มโอกาสที่ทำให้สัตว์บางชนิดต้องมีจำนวนลดลงไป หรือเข้าข่ายสูญพันธุ์รวดเร็วขึ้นจากเหตุการณ์ “Road Kills” ในอดีต ทั้งภูมิภาคเอเชียปกคลุมด้วยผืนป่าขนาดใหญ่ สัตว์น้อยใหญ่สามารถเดินทางเพื่อหาแหล่งอาหารและน้ำ เพื่อดำรงชีวิตในพื้นที่ป่าได้อย่างเต็มที่ จนมีการอพยพไปตามแหล่งทรัพยากรและเคลื่อนที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเพื่อการเอาชีวิตรอดเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป เช่น การเดินทางของปูแดงบนเกาะคริสมาสต์ ประเทศออสเตรเลีย เพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ในทะเล การอพยพของฝูงผีเสื้อหลายล้านตัวในอเมริกาเป็นระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร เพื่อหลบฤดูหนาว เช่นเดียวกันกับนกที่อพยพข้ามทวีปจากรัสเซียมาที่ประเทศไทยในช่วงเดือนกันยายนถึงเดือนเมษายนของทุกปี รวมถึงการออกล่าในอาณาเขต 300 ตารางกิโลเมตร ของเสือโคร่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง “เส้นทาง” และขอบเขตการเดินทางเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่เรื่อยมา อย่างไรก็ดี เมื่อป่าถูกบุกรุก ไม่ใช่เพียงแค่พื้นที่ป่าจะลดลง แต่ยังถูกคั่นด้วยถนนต่างๆ ที่ตัดผ่านป่า ซ้ำเติมด้วยการขยายตัวจากถนนกลายเป็นเมือง แหล่งอาหารของสัตว์ถูกจำกัดพื้นที่แคบลง นั่นคือความหลากหลายของอาหารที่น้อยลงด้วย และการบริโภคซ้ำก็ทำให้สุขภาพเสื่อมลง นอกจากนั้นกลุ่มสัตว์ที่อยู่เป็นฝูง เมื่อไม่สามารถอพยพข้ามเขตแดนไปพบกับฝูงอื่นๆ ทางรอดในการดำรงเผ่าพันธุ์คือการสืบพันธุ์กันเองในเครือญาติ ถือเป็นการผสมแบบเลือดชิด (Inbreeding) นั่นทำให้ลูกที่เกิดมาในรุ่นต่อๆ ไปไม่สมบูรณ์ เติบโตช้า มีโอกาสรอดต่ำและตายหรือสูญพันธุ์ในที่สุด…