คาบสมุทรเกาหลีเป็นหนึ่งในจุดขัดแย้งที่สำคัญของโลก ซึ่งในปี 2567 สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีมีโอกาสจะเพิ่มความตึงเครียดและไม่แน่นอน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลก การพัฒนาอาวุธของแต่ละฝ่ายเพื่อใช้ป้องปราม (deterrence) ฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ที่ยังไม่ดีขึ้นจากเดิม สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ยังหาจุดลดความขัดแย้งระหว่างกันไม่ได้ และยังคงสภาพ “อยู่ในภาวะสงคราม” เป็นเพราะท่าทีของผู้นำทั้ง 2 ฝ่าย โดยฝ่ายผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ ตามแผนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศระยะ 5 ปี รวมทั้งย้ำถึงสถานะที่ชัดเจนว่าต้องการเป็นรัฐที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์และจะไม่ยอมปลดอาวุธนิวเคลียร์ ตลอดจนพร้อมจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการโจมตีก่อนหากเผชิญเหตุคุกคาม ท่าทีแบบนี้เท่ากับว่า เกาหลีเหนือในปัจจุบันไม่ต้องการเจรจาสันติภาพในคาบสมุทรเกาหลี และไม่ปลดอาวุธนิวเคลียร์ แม้ว่าก่อนหน้านี้เมื่อปี 2562 จะมีความเป็นไปได้ที่เกาหลีเหนือจะเปลี่ยนนโยบาย จากการพูดคุยกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ กับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ พัฒนาการในปี 2567 ที่อาจเป็นสัญญาณว่าเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้กำลังปิดโอกาสการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ คือ กรณีที่เกาหลีเหนือแถลงว่าจะตัดความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ โดยต่อจากนี้ เกาหลีใต้ไม่ใช่ญาติของเกาหลีเหนืออีกต่อไป และได้กลายเป็นศัตรูอันดับหนึ่งของเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ หากเกิดสงครามในคาบสมุทรเกาหลี เกาหลีเหนือก็พร้อมที่จะตอบโต้อย่างเต็มที่ แต่จะไม่เป็นฝ่ายที่เริ่มก่อน ขณะที่เกาหลีใต้เองก็มีความห่วงกังวลเรื่องการพัฒนาขีปนาวุธและนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือมากขึ้น เนื่องจากเกาหลีเหนือมักจะทำกิจกรรมที่ละเมิดข้อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council – UNSC) เช่น ยิงทดสอบขีปนาวุธ และการลักลอบนำเข้าน้ำมันดิบ นอกจากนี้…